มนุษย์และธรรมชาติ ความสัมพันธ์ชั่วชีวิต
มนุษย์และธรรมชาติ ความสัมพันธ์ชั่วชีวิต
แปลนทอยส์มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กับคุณชาญชัย พินทุเสน หรือลุงอ๋อยของเด็ก ๆ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ ที่จะมาเล่าถึงความสำคัญของการให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติผ่านการสัมผัสประสบการณ์จริง
ด้วยแนวคิดที่แปลนทอยส์และมูลนิธิฯ มีร่วมกัน เราจึงจัดกิจกรรม Family Trip ที่พาครอบครัวไปเรียนรู้ธรรมชาติที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความงดงาม คุณค่า และความสำคัญของธรรมชาติ โดยเราต่างมีความมุ่งหวังว่าการเรียนรู้ในครั้งนี้จะนำพาพวกเขาให้สามารถใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติได้โดยไม่เบียดเบียน และสามารถรักษาธรรมชาติให้คงไว้ได้สืบไป
การเรียนรู้ธรรมชาติสำคัญกับเด็กอย่างไร
“จริง ๆ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติมีมาตั้งแต่เราเกิด ลูกกินนมแม่ แม่กินพืชและสัตว์เป็นอาหาร แหล่งอาหารก็มาจากธรรมชาติ ทุกอย่างเชื่อมโยงกันเป็นระบบนิเวศ แต่ในทุกวันนี้ โลกที่กำลังพัฒนาถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี อุตสาหกรรม สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมไปถึงลักษณะสังคมเมือง สิ่งเหล่านี้ล้วนพรากเราออกจากธรรมชาติให้ไกลออกไปเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องการให้คุณค่าของสิ่งใกล้ตัว หากเราตื่นเช้ามาพบว่ามือถือหรือแท็บเล็ตของเราหายไป หลายคนคงร้อนใจตามหา แต่ถ้าหากป่าหายไปเป็นร้อยไร่ เรากลับไม่รู้สึกอะไรเลย นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับป่าและธรรมชาติ จึงมองไม่เห็นคุณค่า
และด้วยวัยของเด็กอาจจะยังเชื่อมโยงเองไม่ได้ แต่เขาจะรับรู้ได้แค่ว่าตัวเขาสัมพันธ์กับใคร เพื่ออะไร เช่น ถ้าหิว เขาจะรู้ว่าต้องไปหาแม่ เพราะแม่ทำอาหารให้เขากินทุกวัน ดังนั้น การพาเขามาสัมผัสกับธรรมชาติเป็นการสร้างประสบการณ์เพื่อทำให้เกิดการรับรู้เป็นข้อมูลเบื้องต้น แต่การสัมผัสธรรมชาติของเด็กจะไม่เหมือนกับสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณ จึงต้องมีกระบวนการเพื่อพาเขาเข้ามารับรู้ทีละเล็กละน้อย เมื่อเขาได้รับประสบการณ์มากขึ้น เขาจะมีข้อมูลมากขึ้น และจะเกิดการเชื่อมโยงได้เมื่อเติบโตขึ้น การพาเขาเข้าหาธรรมชาติจะทำให้เขาค่อยๆ รับรู้ว่าในป่ามันไม่ได้มีแค่น้ำ อากาศ แสงแดด หรือสัตว์ แต่เขาจะได้เห็นการพึ่งพาอาศัยกันตามธรรมชาติด้วย เช่น แมลงบางชนิดต้องอยู่บนต้นไม้ ต้นไม้ต้องอาศัยดิน แสงแดด และน้ำในการเจริญเติบโต และถึงแม้ว่าในช่วงเริ่มต้นเขาจะเห็นการเชื่อมโยงแบบไม่ลึกซึ้ง แต่การพาเขามาสู่ธรรมชาติแบบค่อยเป็นค่อยไปแต่สม่ำเสมอ จะทำให้เขาเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ และเข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้เองโดยที่เราไม่ต้องยัดเยียดอะไรเลย สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานให้เขาเติบโตมาเป็นประชากรโลกที่มีคุณภาพ และรักสิ่งแวดล้อม”
จะทำอย่างไรให้เด็กเข้าใจธรรมชาติ
“ก่อนอื่นเราต้องทำให้เขามีอารมณ์ร่วม การใช้อารมณ์นำพาไปสู่การเรียนรู้จะเกิดเป็นความประทับใจ เราจึงต้องหาเครื่องมือที่จะสามารถส่งผลต่ออารมณ์ได้ นั่นก็คือ ‘ศิลปะ’ แต่เราไม่ได้มาสอนศิลปะ เพียงแต่ใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น เพราะศิลปะสื่อสารโดยตรงกับความรู้สึกโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลทางวิชาการ ถ้าเด็กสนุกหรือพึงพอใจ การเรียนรู้ก็จะตามมา เหมือนกับแปลนทอยส์ที่ใช้ของเล่นเป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่การเล่น
แต่ความท้าทายของการพาเด็ก ๆ ไปเรียนรู้ธรรมชาติคือเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะเด็กที่เติบโตในเมือง ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดธรรมชาติ เขาต้องเปิดใจทำความรู้จักและเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ถ้าเด็กปรับตัวไม่ได้เขาจะไม่สนุก หน้าที่ของเราคือการนำศิลปะมาช่วยสร้างทักษะการเรียนรู้ที่สนุกโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น ให้ลองสัมผัสพื้นผิวที่แตกต่างกันในธรรมชาติ ดมกลิ่นดินกลิ่นต้นไม้ในป่า ฟังเสียงธรรมชาติ หรือการสังเกตรูปร่างของแมลงที่เขาพบเจอ ซึ่งถ้าหากมีกระบวนการเน้นย้ำให้สังเกตก็จะช่วยบันทึกข้อมูลนั้นได้แม่นยำมากขึ้น ทำให้คุณภาพของข้อมูลที่เขาจะได้รับดีตามไปด้วย อย่างทริปในครั้งนี้ที่เราให้เด็กปั้นแมลง เมื่อปั้นเสร็จเขานำไปวางบนต้นไม้เองได้ นี่คือความสามารถในการเชื่อมโยงเบื้องต้นที่เกิดขึ้นผ่านศิลปะ ซึ่งการเรียนรู้นี้จะได้รับการชี้นำตามกระบวนการเพื่อพาเขาไปให้ถูกทิศทาง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน”
เด็กๆ และครอบครัวได้อะไรจากการมาร่วม PlanToys Family Trip
“การพาเขาไปเห็นความสัมพันธ์ในธรรมชาติ การรู้จักปรับตัว และการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ล้วนเป็นการสร้างโอกาสในการใช้เครื่องมือในการเรียนรู้ที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิดเพื่อพัฒนาทักษะ แต่ความพิเศษของมนุษย์คือการสร้างเครื่องมือเสริมเพื่อให้การเรียนรู้สนุกมากขึ้น เช่น กล้องส่องทางไกล หรือของเล่น ซึ่งคุณภาพของเครื่องมือเสริมเหล่านี้ก็สำคัญ เวลาเราพาเด็กๆ ไปสัมผัสธรรมชาติ เราสังเกตแทนเด็กไม่ได้ แต่เมื่อเด็กสังเกต เรามีหน้าที่สร้างความสนุกให้เกิดขึ้นโดยใช้เครื่องมือเสริม แต่บนความสนุกเด็กจะได้ข้อมูลที่มีคุณภาพติดตัวไปด้วย ความคาดหวังของมูลนิธิฯ และแปลนทอยส์ คือการให้โอกาสในการสัมผัสและเรียนรู้ธรรมชาติ โดยปล่อยให้เด็กได้ใช้จินตนาการในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อม แต่ที่สำคัญมันต้องสนุก เพื่อให้เด็กอยากเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นการสร้างต้นทุนชีวิตที่มีคุณภาพให้กับตัวเขาเอง”
มนุษย์และธรรมชาติ ความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถแยกจากกันได้
“ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรามาโดยตลอดตั้งแต่แรกเกิดจนวันสุดท้ายของชีวิต แต่เรารู้จักธรรมชาติแค่ไหน เราควรตอบตัวเองให้ได้ว่าธรรมชาติให้ประโยชน์อะไรกับเราบ้าง และที่สำคัญ ‘เราทำประโยชน์อะไรให้ธรรมชาติบ้าง’ การปลูกฝังให้เด็กมีทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิตผ่านการเรียนรู้ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ จะทำให้เขาเห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างไม่เบียดเบียน ซึ่งจะส่งผลให้พวกเขามีพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเติบโตขึ้น”
ลุงอ๋อยทิ้งท้ายว่า สมัยเด็ก ลุงเติบโตมาในวิถีชนบท อยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่จำความได้ เลยเป็นการปลูกฝังให้รักธรรมชาติไปโดยปริยาย เพราะมีความรู้สึกที่ดี สนุก เวลาอยู่กับธรรมชาติ ลุงอ๋อยจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นระหว่างการเรียนรู้ เพราะอยากให้เด็ก ๆ มีความรู้สึกรักธรรมชาติเช่นเดียวกัน
ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก “มายเดย์” เด็กชายที่เติบโตมากับป่าและได้มีโอกาสมาอยู่กับลุงอ๋อยตั้งแต่ยังไม่มีมูลนิธิฯ มาจนถึงทุกวันนี้ มายเดย์กลายเป็นช่างภาพฝีมือดีประจำมูลนิธิฯ ที่ฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตัวเองมาตลอด
“ผมชอบถ่ายรูปสัตว์ป่า เพราะเราโตมากับป่า และสัตว์สอนให้เราเคารพซึ่งกันและกัน เราเข้าไปในเขตบ้านพวกเขา เราก็ต้องให้เกียรติ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองด้วย (หัวเราะ) สัตว์แต่ละชนิดมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด เราจึงต้องหาวิธีเข้าไปโดยไม่รบกวน เพื่อให้เขาไม่วิ่งหนีเราไป และต้องดูทิศทางลมด้วย เพราะสัตว์ดมกลิ่นได้ในระยะไกล ถ้าเขาได้กลิ่นแปลกเขาจะหนี ความรู้เหล่านี้ผมได้มาแต่เด็ก ธรรมชาติสอนเรา เรื่องการอยู่ร่วมกัน สอนทักษะการใช้ชีวิตโดยสัญชาตญาณ และการเคารพซึ่งกันและกัน ผมคิดว่านี่คือทักษะสำคัญที่เราทุกคนต้องมี และเด็ก ๆ ควรได้เรียนรู้”